• Home
  • Article
  • ทำไมความยั่งยืนถึงทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกขยับตาม?
ทำไมความยั่งยืนถึงทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกขยับตาม?

ทำไมความยั่งยืนถึงทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกขยับตาม?

14 พ.ย. 2565   ผู้เข้าชม 127

จากการวิจัยเพื่อคาดการ์ณเทรนด์การตลาดปี 2023 เชื่อหรือไม่ว่า 68% ของผู้บริโภคเชื่อว่าตัวเองมีอำนาจในการบังคับและเปลี่ยนแปลงทิศทางของธุรกิจที่มีอยู่ในตลาด นอกจากนี้ผู้บริโภคอีกอีก 86% คาดหวังว่าผู้บริหารจะต้องออกมาพูดเกี่ยวกับประเด็นทางสังคม และคาดหวังไปถึงการลงมือปฎิบัติเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวด้วยเช่นกัน

 

แต่เหตุผลที่ทำให้นักการตลาดต้องสนใจเทรนด์ความยั่งยืน หรือ Sustainability เพราะผลจากการวิจัย แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคให้ความสนใจในเรื่องนี้มาก ๆ 

มันไม่ได้เป็นแค่การตลาดสีเขียวหรืออินฟลูที่แยกขยะ มันเป็นมากกว่าสิ่งแวดล้อม แต่เป็นเรื่องที่รวมไปถึงความโปร่งใสของแบรนด์เลยด้วยซ้ำ

Sustainability หรือเทรนด์ความยั่งยืน กลายเป็นรายการแรก ๆ ของหลายแบรนด์ที่กลายเป็นเป้าหมาย ไม่ใช่เทรนด์ Digital Marketing หรือ AI แต่เป็นเรื่องของความยั่งยืน และหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าแบรนด์ใหญ่ ๆ เริ่มพูดถึงการอนุรักษ์ธรรมชาติมากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ทำให้แบรนด์ต้องคิดแคมเปญในปีหน้าให้เชื่อมโยงกับเรื่องของเทรนด์ความยั่งยืน เพราะ Gen Z ที่ตระหนักในเรื่องนี้มาก ๆ เริ่มกลายมาเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของผู้บริโภค 

 

นักการตลาดจึงจำเป็นมากขึ้นที่จะต้องสื่อสารอย่างเปิดกว้าง เข้าอกเข้าใจ และต้องสร้างเงื่อนไขแคมเปญหรือสินค้าที่ทำให้โลกดีขึ้นได้ นอกจากเรื่องการลงมือทำของแบรนด์ในข้างต้นแล้ว โจทย์ใหม่ของนักการตลาดคือจะต้องทำยังไงให้ผู้บริโภคเชื่อได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่เขาเลือกใช้ จะทำให้โลกใบนี้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม


และการที่ธุรกิจจะขยับตามเทรนด์ความยั่งยืนนี้ได้จำเป็นต้องมีขั้นตอนใหญ่ ๆ ทั้งหมด 6 วิธี ดังนี้

 

1. Business transparancy Sustainability : ทำให้แบรนด์ และธุรกิจของคุณโปร่งใส

ผลลัพธ์ของการที่ผู้บริโภคต้องการรู้ในว่าสินค้าที่เขาใช้อยู่ผลิตออกมาได้อย่างไร ทำให้แบรนด์หลาย ๆ แบรนด์เริ่มปรับให้มีความโปร่งใสที่มากขึ้น 

ซึ่งการผลิตสินค้าออกสู่ตลาดจะถูกจับตามองจากผู้บริโภคตั้งแต่ส่วนประกอบที่นำมาประกอบเป็นสินค้านั้น ๆ จนถึงสวัสดิการของพนักงาน และสัตว์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต

ดังนั้นการตรวจสอบกระบวนการการผลิตจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น และหลายประเทศได้เริ่มปรับปรุงกฎเกณฑ์การผลิตสินค้าที่จะเริ่มบังคับใช้ในปีถัดไป เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น 

มีทั้งหมด 28 ประเทศในโลกตอนนี้ที่กำลังจะเริ่มใช้กระบวนการวัดผลที่ถูกปรับมา และกว่า 75% ของประเทศเหล่านี้กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อกำหนดบทลงโทษที่สมเหตุสมผลสำหรับกลุ่มที่ไม่ปฎิบัติตามกฎ และนโยบายเพื่อความยั่งยืนเช่นกัน

 

2. Transportation Sustainaility : การขนส่งที่ดีเท่ากับการสร้างมลพิษที่น้อยลง

 

เพราะความนิยมของการซื้อ-ขายของออนไลน์พุ่งทะยานขึ้นช่วงการระบาดของโควิด ดังนั้นมลพิษของคาร์บอนไดออกไซด์จากยานพาหนะขนส่งก็มากขึ้นด้วย การเติบโตนี้ผลักดันให้ผู้นำด้านอุตสาหกรรมมองหาการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้กลายเป็นหนึ่งในลิสต์บน ๆ ของเทรนด์ในปี 2023 ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในเทรนด์เพื่อความยั่งยืนอีกเช่นกัน

เพื่อให้การขนส่งเป็นไปได้อย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้มากที่สุด ธุรกิจหรือแบรนด์ต่าง ๆ เริ่มหันมาใช้ยานพาหนะไฟฟ้า, โดรน หรือแม้แต่จักรยานขนส่งแทนการใช้ยานพาหนะที่ใช้น้ำมันเพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ความยั่งยืน เช่น แอพอาหารในต่างประเทศที่มีตัวเลือกส่งด้วยจักรยานหรือด้วยการเดิน

ในขณะเดียวกัน การซื้อขายออนไลน์ได้ช่วยเหลือเรื่อง Sustainability ในแง่ของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยการที่ผู้บริโภคไม่ต้องเดินทางไปที่ห้างสรรพสินค้า ทำให้ผู้ขายบางกลุ่มย้ายธุรกิจไปช่องทางออนไลน์ในช่วงการเกิดโรคระบาด และไม่เปิดหน้าร้านอีกเลย แบรนด์แฟชั่นสปอร์ตชื่อดังแบรนด์หนึ่งก็เป็นอีกหนึ่งในธุรกิจที่เริ่มทยอยปิดหน้าร้านเช่นกัน และมีการคาดการณ์ว่ากว่า 80,000 ร้านค้าปลีกจะเริ่มปิดในอีก 2-3 ปีหลังจากนี้

 

3. Recycling Cycle: สร้างวัฎจักรการนำกลับมาใช้ใหม่ และการรีไซเคิล

อย่างที่รู้กันว่าร้านค้าปลีกทำให้เกิดขยะมูลฝอยมากมายและปัญหานี้ก็แย่ลงเรื่อย ๆ การตีสินค้าส่งคืนของ E-Commerce อยู่ที่ประมาณ 23.44% ของการสั่งซื้อทั้งหมด นั่นหมายความว่าแทบจะเป็น 1 ใน 4 ของพัสดุถูกตีกลับและขยะจากการแพ็คสินค้าก็มีจำนวนเยอะที่สุดเท่าที่เคยมีมา จากผลตรงนี้ทำให้การกำจัดขยะเป็นอีกหนึ่งในเทรนด์ความยั่งยืนของปี 2023 

ในฝั่งร้านค้าของทางยุโรป แบรนด์ใหญ่บางแบรนด์ ก็ประกาศถึงแผนงานที่จะทำให้กล่องพัสดุเป็นกล่องที่สามารถนำมารีไซเคิลได้ให้เกิดขึ้นภายในปี 2025 เพื่อตอบสนองเทรนด์ความยั่งยืนเรื่องขยะ และแบรนด์ที่เป็น Fast Fashion แบรนด์ใหญ่ก็เริ่มดำเนินการวางแผนสำหรับความต้องการซื้อเพื่อควบคุมการผลิต ที่จะช่วยในการคาดการณ์ความต้องการซื้อในแต่ละฤดูกาลได้ดีขึ้น ทำให้ไม่เกิดสินค้าเหลือทิ้ง เป็นการแสดงออกให้เห็นว่าแบรนด์ต้องการเข้าร่วมกับเทรนด์ความยั่งยืนนี้อีกเช่นกัน

หนทางอื่น ๆ ที่จะลดขยะได้คือเศรษฐกิจหมุนเวียน โมเดลนี้ทำให้เกิดการรียูส และรีไซเคิลวัสดุที่มีอยู่แล้วกับผลิตภัณฑ์ 

แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ยักษ์ใหญ่แบรนด์หนึ่งเองก็ประกาศว่าจะเป็นแบรนด์แรกที่จะทำให้เกิดระบบเศรษฐกิจแบบหมุนเวียนภายในปี 2030 เพื่อแสดงออกถึงการเข้าร่วมเทรนด์ความยั่งยืน

หรือแม้แต่ฟาส์ตฟู้ดที่มีมาสคอตเป็นตัวตลกขายแฮมเบอร์เกอร์และ แบรนด์กาแฟดังขึ้นต้นด้วยตัว S เองก็เข้าร่วมเทรนด์นี้และต้องการเพิ่มสินค้าเป็นแก้วที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้

และอีกหลาย ๆ แบรนด์พยายามเพิ่มกลยุทธุ์ธุรกิจหมุนเวียนเพื่อเข้าร่วมเทรนด์ความยั่งยืน ซึ่งบริษัทวิจัยคาดเดาว่าการทำโครงสร้างนี้จะสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นให้กับธุรกิจนั้น ๆ ถึง สามพันห้าร้อยล้านดอลล่าห์สำหรับการลดต้นทุนพัสดุสินค้าในปี 2030

 

4. Friendly Workspace & Environment : สถานที่ทำงานที่เป็นมิตร

เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายความยั่งยืน แบรนด์จะเป็นคนวิเคราะห์ว่าสถานที่ทำงานส่งผลกระทบกับการทำงานและสวัสดิการคนในองกรณ์หรือไม่ และในตอนนี้หลาย ๆ ธุรกิจดังหลายแบรนด์ได้เริ่มทำตามเทรนด์นี้แล้ว และอีกหลาย ๆ บริษัทก็กำลังหันมาให้ความสนใจกับสุขภาพและความมั่นคงของพนักงานในบริษัทตัวเองแล้วเช่นกัน

 

5. Ethical Supply Chain System: การผลิตที่มีจริยธรรมครบทั้งวงจร

การเปลี่ยนวิธีการผลิตสินค้าก็เป็นส่วนหนึ่งในการผลิตอย่างมีจริยธรรม และเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเทรนด์ความยั่งยืนปี 2023 

และนอกจากนี้แบรนด์และธุรกิจเองต้องมั่นใจว่าผู้กระจายสินค้า ผู้ร่วมลงทุน และงานในส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์อยู่ในมาตรฐานจริยธรรมทั้งเรื่องของสภาพแวดล้อมการทำงาน ที่มาของส่วนประกอบสินค้าและพนักงานที่ผลิตสินค้าตามนโยบายความยั่งยืน

 

6. Data and Technology Help Environment Sustainability: ข้อมูลและเทคโนโลยีจะช่วยเรื่องโครงการสิ่งแวดล้อม

 

ในปัจจุบันข้อมูลและเทคโนโลยีมีประโยชน์อย่างมากในการช่วยลดการใช้พลังงานจากน้ำมันและในแง่อื่น ๆ ที่สอดคล้องกับเทรนด์ความยั่งยืน ซึ่งเป็นการการันตีว่าจะช่วยลดการใช้พลังงานจากน้ำมันในอนาคตด้วยเช่นกัน และในตอนนี้เทคโนโลยีก็ได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถลดมลภาวะการเกิดก๊าซเรือนกระจกได้จริง 

และจากการรายงานของบริษัทวิจัยชื่อดังที่ต่างประเทศ สามารถระบุได้ว่าการเกษตรและพื้นที่สีเขียวที่เพิ่มขึ้น สามารถช่วยทำให้การคาดการณ์สภาพอากาศมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม และบริษัทดังเดียวกันนี้คาดการณ์ว่าเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันอย่างพลังงานสะอาดที่เป็นหนึ่งในนโยบายความยั่งยืน สามารถช่วยลดก๊าสเรือนกระจกของโลกได้ประมาณ 4% ในปี 2030 

มีผู้ค้าขายรายใหญ่ หลายแบรนด์ธุรกิจที่เริ่มมองเห็นผลประโยชน์ของข้อมูลและเทคโนโลยีเหล่านี้ เพราะหลาย ๆ ครั้งการมีข้อมูลสามารถช่วยวิเคราะห์ข้อมูลสำคัญที่ช่วยลดเรื่องขยะมูลฝอยและสิ่งสิ้นเปลืองอื่น ๆ ได้อีกด้วย แสดงให้เห็นว่าหลายแบรนด์ได้ตระหนักและเดินตามเทรนด์ความยั่งยืน

การทำงานหนักเพื่อมุ่งไปสู่โลกที่สะอาดและดีขึ้นเป็นเรื่องที่เราทุกคนควรทำอยู่แล้วและยิ่งการที่แบรนด์ใหญ่หลาย ๆ แบรนด์ที่เป็นเจ้าตลาดเริ่มขยับตัวตามเทรนด์นี้ตั้งแต่ปี 2022 ที่ผ่านมา ทำให้เรายิ่งมองเห็นว่าการมุ่งสู่ความยั่งยืนเป็นเรื่องสำคัญนอกจากภาพลักษณ์แบรนด์แล้วยังได้เรื่องสิ่งแวดล้อมโลกด้วย

 

 

ยักษ์ย๊ากส์หวังว่าบทความนี้จะตอบคำถามให้กับคนที่เข้ามาอ่านและต้องการหาความรู้เกี่ยวกับเทรนด์ความยั่งยืน และได้คำตอบว่าทำไมเทรนด์นี้ถึงเป็นเทรนด์ที่แบรนด์ใหญ่ให้ความสำคัญ และหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ทั้งนักการตลาด ทั้งเจ้าของแบรนด์ไม่มากก็น้อยนะฮะและขอฝากข้อคิดที่เราไปเจอมาและชอบมากไว้อีกนิดนึงว่า 

 

“Giants don’t need a footprint to leave their marks.”
“ยักษ์ใหญ่ไม่จำเป็นต้องทิ้งรอยเท้าไว้เพื่อให้โลกจำ”

 

 

เหมือนที่แบรนด์ยักษ์ใหญ่มองว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องทำให้เกิดผลกระทบกับโลกเพื่อให้ตัวเองเป็นที่จดจำในการทำธุรกิจฮะ

- ยักษ์ย๊ากส์ เอเจนซี่การตลาดและโฆษณา หาดใหญ่ สงขลา -


Articleที่เกี่ยวข้อง

ยักษ์ย๊ากส์แนะแนวทางทำคอนเทนต์ที่ดีต่อใจ
25 พ.ค. 2565

ยักษ์ย๊ากส์แนะแนวทางทำคอนเทนต์ที่ดีต่อใจ

มุมมอง และไลฟ์สไตล์